สิงหาคม 25, 2025

รีวิวหนัง Last Bullet (2025) แรงทะลุกระสุน 3

รีวิวหนัง Last Bullet (2025) แรงทะลุกระสุน 3 ในโลกของภาพยนตร์แอ็กชันที่เต็มไปด้วยสูตรสำเร็จและการไล่ล่าที่ซ้ำซาก Last Bullet 3 (แรงทะลุกระสุน 3) โผล่ขึ้นมาเป็นหนึ่งในผลงานที่แสดงให้เห็นว่าฝรั่งเศสเองก็สามารถสร้างหนังแนวตำรวจไล่ล่าสุดเดือดได้ทัดเทียมฮอลลีวูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรภาค “Lost Bullet” ที่กลายเป็นไอคอนของหนังแอ็กชันสายดิบบนแพลตฟอร์มอย่าง Netflix และภาคปิดอย่าง Last Bullet 3 ก็ไม่ได้ทำให้แฟน ๆ ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย

รีวิวหนัง Last Bullet

บทสรุปของเส้นทางเลือดและเหล็กกล้า

ภาคที่ 3 นี้เริ่มต้นต่อจากเหตุการณ์ใน Lost Bullet 2 อย่างต่อเนื่อง Lino (รับบทโดย อัลบัน เลอนัวร์) ยังคงเดินหน้าตามล่าความยุติธรรมในโลกที่ทุกอย่างกำลังพังทลายลง ความขัดแย้งระหว่างเขากับ Areski (รับบทโดย นิโกลาส ดูโวเชล) เข้าสู่จุดเดือดสุดขีด เมื่ออดีตตำรวจผู้หันหลังให้กฎหมายอย่าง Areski ต้องลี้ภัยจากคดีเก่าและเข้าไปพัวพันกับองค์กรอาชญากรรมในเยอรมนี

แม้เรื่องราวจะไม่ได้ซับซ้อนหรือซ่อนปมลึกซึ้ง แต่ด้วยการดำเนินเรื่องที่กระชับ ฉับไว และมีจุดพีคที่มาตรงเวลา ทำให้หนังสามารถพาผู้ชมเข้าไปอยู่ในโลกของตัวละครได้อย่างง่ายดาย ความสัมพันธ์ที่ซ้อนทับระหว่าง “ความยุติธรรม” กับ “การแก้แค้น” ถูกเล่าออกมาในรูปแบบที่จับต้องได้ โดยไม่พยายามทำให้ซับซ้อนเกินจำเป็น

ฉากสตั๊นต์รถ – หัวใจหลักของแฟรนไชส์

หนึ่งในจุดเด่นที่สุดของ Last Bullet มาตั้งแต่ภาคแรก คือการใช้รถยนต์เป็นสื่อกลางของฉากแอ็กชัน ไม่ว่าจะเป็นการชน การไล่ล่า การยิง หรือแม้แต่การใช้รถเป็นอาวุธในการต่อสู้ ทุกฉากถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน ไม่ใช่แค่เพื่อโชว์เท่ แต่เพื่อผลักดันเรื่องราวไปข้างหน้า

ในภาค 3 นี้ ทีมผู้สร้างยังคงรักษาคุณภาพการออกแบบฉากไล่ล่าเอาไว้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการบุกโจมตีรถบรรทุกเกราะกลางถนน หรือฉากขับรถหนีการไล่ล่าในอุโมงค์ที่ทั้งมืดและแคบ ทุกเฟรมให้ความรู้สึกว่าทุกวินาทีกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย

อย่างไรก็ตาม ฉากต่อสู้บางช่วง เช่น การต่อสู้บนรถเมล์ที่ใช้กล้อง shake cam อาจทำให้ผู้ชมบางคนรู้สึกเวียนหัวไปบ้าง แต่มันก็เป็นการตัดสินใจทางศิลป์ที่ต้องการสื่อถึงความโกลาหลและความรุนแรงของสถานการณ์อย่างสมจริง

Last Bullet

ความสัมพันธ์ของตัวละคร – แรงขับเคลื่อนที่มากกว่าความมัน

แม้ว่าหนังจะเน้นแอ็กชันเป็นหลัก แต่สิ่งที่ทำให้แฟรนไชส์ Lost Bullet แตกต่างจากหนังแอ็กชันทั่วไป คือความใส่ใจในตัวละคร Areski และ Lino ไม่ใช่แค่คู่ปรับธรรมดา แต่เป็นตัวแทนของสองขั้วในสังคม: คนหนึ่งเคยเป็นตำรวจที่ผันตัวเข้าสู่ด้านมืดอย่างไร้ทางกลับ ขณะที่อีกคนต้องต่อสู้กับความผิดพลาดของระบบที่เขาเชื่อมั่น

“อัลเบน เลอนัวร์” แสดงบท Lino ได้อย่างเข้มข้น สมจริง และเปี่ยมด้วยแรงผลักดัน ส่วน “นิโคลัส ดุโวเชลล์” ก็นำเสนอ “อเรสกิ แบลคาเซม” ในมิติที่ไม่ได้เป็นแค่ “ตัวร้าย” ธรรมดา เขามีความเสียใจ ความรู้สึกผิด และแรงผลักที่ทำให้เขากลายเป็นอย่างที่เป็น

ถึงแม้ตัวละครรองอย่าง Resz, Moss หรือ Mathilde จะไม่ได้มีบทบาทลึกมาก แต่ก็ช่วยสร้างความสมดุลในเรื่อง และทำให้เนื้อเรื่องไม่หนักไปที่ตัวเอกเพียงอย่างเดียว

ทำไมคุณไม่ควรพลาด Last Bullet 3?

  1. บทสรุปของไตรภาคที่น่าประทับใจ Last Bullet 3 ไม่ใช่แค่ภาคต่อเพื่อยืดเวลา แต่มันคือการสรุปเรื่องราวของ Lino และ Areski อย่างมีพลัง จบแบบมีน้ำหนักทางอารมณ์ และให้ความรู้สึกสมบูรณ์ทางโครงสร้างเรื่อง
  2. ฉากแอ็กชันแบบดิบและจริง ไม่พึ่ง VFX เกินจำเป็น สำหรับคอหนังแอ็กชันที่เบื่อ CGI ล้นจอ Last Bullet คือคำตอบ ฉากรถพลิกคว่ำ, ยิงทะลุเหล็ก, หรือระเบิดที่เกิดขึ้นต่อหน้า ไม่ใช่การสร้างจากคอมพิวเตอร์แต่คือการถ่ายทำจริงที่ให้ความรู้สึกสมจริงและดุดัน
  3. ฝรั่งเศสในฐานะผู้เล่นใหม่ของหนังแอ็กชันคุณภาพ นี่ไม่ใช่แค่ความสำเร็จของหนังเรื่องเดียว แต่คือภาพสะท้อนของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฝรั่งเศสที่กำลังก้าวขึ้นมาในเวทีโลกด้วยผลงานคุณภาพ
  4. ความยาวกระชับ เหมาะกับการดูในทุกเวลา ด้วยความยาวเพียง 1 ชั่วโมง 51 นาที หนังเดินเรื่องเร็ว ไม่ยืดเยื้อ เหมาะอย่างยิ่งกับการรับชมในวันหยุดหรือช่วงเวลาที่ต้องการความบันเทิงที่เข้มข้นและจบในคราวเดียว

สรุป

Last Bullet 3 (แรงทะลุกระสุน 3) คือบทสรุปอันเร้าใจของไตรภาคที่เริ่มต้นจากแค่ “หนังแอ็กชันเล็ก ๆ” บน Netflix แต่กลับกลายเป็นแฟรนไชส์ที่มีอัตลักษณ์ชัดเจนและโดดเด่นในระดับนานาชาติ มันไม่ได้พยายามเป็นอะไรที่มากเกินไป แต่มันทำในสิ่งที่ควรทำได้อย่างยอดเยี่ยม แอ็กชัน, รถ, ความแค้น และความยุติธรรม ที่รวมกันจนกลายเป็นหนึ่งในหนังที่ไม่ควรพลาดที่สุดของปี 2025

คะแนนความน่าสนใจหนัง : 4/5 ดาว

แหล่งที่มา : guillaume_pierret

อ่านบทความต่อได้ที่ : ดูหนังออนไลน์

รับชมดูบอลออนไลน์ได้ที่ : 168doonung

You may also like